วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แม้นเราจะพรากจากกัน (ตอนที่ 3 เพื่อนซี้จะไปแล้วเหรอ)

ตอนที่ 3 เพื่อนซี้จะไปแล้วเหรอ


ถ้าไม่ได้รีบร้อนไปไหน ยติมักจะเดินไปไหนมาไหนเสมอเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ก่อน หายตัวไปทั้งคู่ อีกทั้งจากมหาวิทยาลัยถึงบ้านยติมีของขายข้างทางตอนเย็นตลอดทาง

"หือ กับข้าวตอนเย็นมีแต่ผักอีกแล้ว ยติน้ายติ ไม่น่าลืมเลย ให้หมอนี่เตรียมอาหารให้เมื่อไหร่ได้กินแต่มังสวิรัตเสมอ" ถึงจะบ่นแต่กับข้าวก็ไม่เคยเหลือซักครั้ง

"แต่ช่างเหอะ นี่ก็จะหกโมงเย็นล่ะ กินเลยดีกว่า"

หลังทานข้าวเสร็จ ยตินั่งอ่านนิยายพร้อมดื่มชารอให้ถึงเวลาที่จะฟังเรื่องสำคัญ

1 ชั่วโมง

2 ชั่วโมง

3 ชั่วโมง

"โอ๊ย เมื่อไหร่จะมานะ นี่ก็จะห้าทุ่มอยู่แล้ว ฉันมีเรียนพรุ่งนี้แต่เช้านะ" ยติเก็บนิยายต่าง ๆ ที่เอามาอ่านกว่าสามเรื่องเข้าที่เดิม และจะเริ่มล้างจานถ้าเสียงกริ่งไม่ดังซะก่อน

"มีคนมาหาจ้า" เสียงกริ่งที่แม่เธอประดิษฐ์และอัดเสียงไว้ให้เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดอายุสิบห้าปี

"อ่ะ มาได้เวลาตอนจะไปอาบน้ำนอนนะ"

"ขอโทษที ยติ งานที่จะส่งเรื่องทุนมันยุ่งยากกว่าที่คิดน่ะ"

"อืม ช่างเถอะ เข้ามาดื่มชาก่อนสิ" เป็นนิสัยประจำตัวฤกษณะที่จะดื่มชาทุกครั้งที่กลับถึงบ้านในตอนเย็น

"ขอน้ำเปล่าเย็น ๆ ดีกว่า"

'สงสัยจะมีเรื่องอะไรมาแน่เลย' ความสนิทกันแต่เด็กย่อมทำให้ทั้งคู่สังเกตอีกฝ่ายได้มากมาย ทั้งนิสัย ความชอบ เรื่องที่เกลียด

"นายมีเรื่องอะไรจะบอกฉันล่ะ" ยติถามหลังจากวางแก้วน้ำให้บนโต๊ะ

"คือ" ฤกษณะเงียบไปนาน เพื่อเรียบเรียงคำพูด

"ฉันต้องออกเดินทางอาทิตย์หน้าแล้วน่ะ"

"..." ยตินึ่่งไปเหมือนกัน

"คนให้ทุนเค้าบอกว่าจะได้ไปทำความรู้จักกันก่อนน่ะ เตรียมตัวในเรื่องต่าง ๆ ด้วย" การพยายามอธิบายมันยากจริง ๆ

"พ่อแม่ฉันก็เซ็นอนุมัติให้แล้วด้วย"

"หา ก็พ่อนายไม่ให้นายเข้าบ้านนี่นา บังคับให้นายออกมาอยู่นอกบ้านตั้งแต่เข้าม.ปลาย" ยติแปลกใจกับเรื่องนี้อย่างมาก เพราะพ่อของฤกษณะเป็นคนหัวดื้อ ข้อสำคัญเกลียดผู้ชายที่ไม่ใช่ผู้ชายที่สุด และมักจะคิดว่าผู้ชายคือผู้นำ ผู้หญิงไม่มีสิทธิอะไรทั้งนั้น แม่ฤกษณะพยายามเกลี้ยกล่อมหลายครั้งแต่ผลที่ได้คือ ทะเลาะจนเกือบจะเลิกกัน

แต่ก็ยังดีที่แม่ฤกษณะเป็นคนใจดีและใจเย็นมาก ๆ สมกับเป็นนางพยาบาล เรื่องจึงจบที่ ฤกษณะต้องออกมาอยู่บ้านเช่าใกล้โรงเรียนและแม่มาหาเป็นบางครั้ง

"คงอยากให้ฉันไปอยู่ไกล ๆ ล่ะมั้ง จะไม่ได้เอาความสกปรกติดไปบ้านเวลาแม่มาหาฉัน"

"ฤกษณะ คนนั้นเป็นพ่อนายนะ เป็นผู้ที่ทำให้นายเกิดมาดูโลกนี้ ไม่ควรไปว่าพ่อ" ยติคอยเตือนสติฤกษณะเสมอให้ระลึกบุญคุณคน

"เถอะน่า เอาเป็นว่าเค้ายอมให้ฉันเข้าบ้านไปอธิบายเรื่องทุนและเซ็นอนุญาตทันที"

"เราจะไม่ได้เจอกันอีกกี่ปี" ยติเริ่มรู้สึกเดียวดายขึ้นมาแล้ว

"ตามรายละเอียดบอกว่า เวลาเรียนคือ ห้าปีจบแพทย์รักษา"

"เหรอ ห้าปีเชียวเหรอ" ยติเหม่อลอยไปไกลในความคิดตัวเอง

'ที่จริงฉันจะเรียนให้จบเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้นะ ยติ แต่ยังไม่บอกดีกว่า ฉันไม่อยากสร้างความหวังให้เธอ' แววตาอาวรณ์นี้ ยังคงส่งไปไม่ถึงยติเพราะอะไรนั้นฤกษณะก็ไม่อาจรู้ได้

'ยติ เธอต้องอยู่คนเดียวอีก ห้าปี นะ จะทนได้เหรอ ถึงมีเพื่อนคนอื่นแต่มันเหมือนกันเหรอ พ่อแม่ก็ไม่มีแล้วนะ คนสนิทในชีวิตนี้เหลือแต่ฤกษณะ ถ้าเค้าไปเธอจะทนได้จริง ๆ เหรอ'

"ยติ เป็นอะไรน่ะ" ฤกษณะเดินมานั่งใกล้

"เออ เปล่าหรอก" เพื่อกลบเกลื่อนตาแดง ๆ ใกล้จะร้องไห้ ยติจึงเดินหลบหน้าออกมา

"..."

"นายจะกินอะไรไหม ฉันจะทำให้ ยำผักเหมือนเดิมเอาเปล่า"

"ไม่ล่ะ ฉันง่วงนอนแล้ว กลับไปนอนเลยดีกว่า" ฤกษณะหยิบกระเป๋าแล้วเดินไปทางประตู

"เอ่อ ..." ยติพูดได้แค่เริ่มต้น แต่ไม่รู้จะบอกอะไรออกไป

"หือ มีอะไร" ฤกษณะหันมาถามขณะใส่รองเท้าเตรียมตัวกลับบ้าน

"เปล่า ไว้นึกได้แล้วจะบอกแล้วกัน" ยติยิ้ม ๆ เดินมาส่งหน้าประตู

"ราตรีสวัสดิ์"

"จ๊ะ" ได้แค่รับคำ ปิดประตู เดินกลับมาเตียงนอนตัวเอง และ...

ยติไม่รู้จะทำยังไงกับตัวเองดี มันทั้งเศร้า ดีใจ ตื่นเต้น เป็นทุกข์ เหงา ความรู้สึกต่าง ๆ โถมใส่กันเข้ามาจนน้ำตาไหลอาบแก้มตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

'ฤกษณะเป็นแค่เพื่อนสนิทนะ แถมยังไม่ใช่ผู้ชายแท้อีกต่างหาก ทำไมเธอจะต้องร้องไห้นะ ยติ
ประสาท... ใช่ ประสาทไปแล้วแน่ ๆ ยติ' ว่าตัวเองไปพลาง ร้องไห้ไปพลางคงตลกสำหรับบางคน

แต่สำหรับคนที่ขาด ๆ เกิน ๆ อย่างยติแล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน

ธรรมดาที่ยติจะร้องไห้อยู่คนเดียว ด่าว่าตัวเองอยู่คนเดียว แม้นว่าจะไม่มีเรื่องอะไรให้เป็นทุกข์เลย


ผู้แต่ง
สวัสดีค่าา เพื่อนๆ ทุกคน

เริ่มรู้สึกดีกับ แม้นเราจะพรากจากกัน ขึ้นมาหรือยังเอ่ย

หวังว่า จะเป็นที่พอใจนะคะ ^-^

อ่านตอนที่ 4 กันเถอะค่ะ
http://health-adoxy.blogspot.com/2009/11/4.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น